เมนู

มีคำอธิบายว่า การวาง การตั้ง ซึ่งจิตและเจตสิกไว้ในอารมณ์เดียว
โดยชอบด้วยดี เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิก ไม่ฟุ้งไป ไม่เกลื่อน
กล่น ตั้งอยู่โดยชอบด้วยดีในอารมณ์เดียว ด้วยอานุภาพแห่งธรรมใด,
คำที่กล่าวมาแล้วนี้พึงทราบว่าเป็น สมาธาน.
ก็ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ การกำจัด
ความฟุ้งซ่านเป็นรส การไม่หวั่นไหวเป็น
ปัจจุปัฏฐาน และมีความสุขเป็นปทัฏฐานของ
สมาธินั้นแล.

ธรรมชาติใด อันพระโยคีบุคคลอบรมอยู่ เจริญอยู่ ฉะนั้น
ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า ภาวนา, ภาวนาคือสมาธิ ชื่อว่า สมาธิภาวนา,
อีกอย่างหนึ่ง การอบรมการเจริญซึ่งสมาธิ ชื่อว่า สมาธิภาวนา. ห้าม
ภาวนาอื่นด้วยคำว่า สมาธิภาวนา. ญาณอันสำเร็จด้วยสมาธิภาวนา
ด้วยสามารถแห่งอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิดุจในก่อน.

4. อรรถกถาธัมมัฏฐิติญาณุทเทส


ว่าด้วย ธรรมฐิติญาณ


ชื่อว่าปัจจัย ในคำนี้ว่า ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา มีวจนัตถะ
ว่า ผลย่อมอาศัยธรรมนั้นเกิด ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่า ปัจจัย.

คำว่า ปฏิจฺจ ได้แก่ ไม่เว้นจากธรรมที่เป็นปัจจัยนั้น อธิบาย
ว่า ไม่บอกคืน. บทว่า เอติ ความว่า ย่อมเกิดขึ้นด้วย ย่อมเป็นไป
ด้วย. อีกอย่างหนึ่ง มีความว่าอุปการะ มีอรรถว่าเป็นแดนเกิด, ปัญญา
ในการกำหนดคือกำหนดได้ซึ่งปัจจัยทั้งหลาย เพราะปัจจัยนั้นมีมาก
อย่าง ชื่อว่า ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา แปลว่า ปัญญาเป็นเครื่อง
กำหนดปัจจัย.
ธมฺมศัพท์ ในบทว่า ธมฺมฏฺฐิติญาณํ นี้ ย่อมปรากฏใน
อรรถว่า สภาวะ, ปัญญา, บุญ, บัญญัติ, อาบัติ, ปริยัติ, นิสสัตตตา,
วิการ, คุณ, ปัจจัย, ปัจจยุปบันเป็นต้น.
ก็ ธมฺมศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในอรรถว่าสภาวะ ได้ในติกะว่า
กุสลา ธมฺมา สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, อกุสลา ธมฺมา
สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, อพฺยากตา ธมฺมา สภาวธรรม
ทั้งหลายที่เป็นอัพยากตะ1.
ธมฺมศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า ปัญญา ได้ในคำเป็นต้นว่า
บุคคลใดผู้อยู่ครองเรือนประกอบด้วย
สัทธา มีธรรม 4 ประการเหล่านี้ คือ สัจจะ,

1. อภิ.สํ. 34/1.

ธรรมะ, ธิติ, และจาคะ บุคคลนั้นแล ละโลกนี้
ไปแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก
1 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า บุญ ได้ในคำเป็นต้นว่า
ธรรมและอธรรมทั้ง 2 นี้ มีผลเสมอกัน
หามิได้เลย อธรรมย่อมนำไปนรก ธรรมย่อมให้ถึง
สุคติ
2 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า บัญญัติ ได้ในคำเป็นต้นว่า
บัญญัติธรรม, นิรุตติธรรม, อธิวจนธรรม3 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า อาบัติ ได้ในคำเป็นต้นว่า
ธรรมคือปราชิก, ธรรมคือสังฆาทิเสส4 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า ปริยัติ ได้ในคำเป็นต้นว่า
ภิกษุในธรรมวินัย ย่อมเรียนธรรมคือสุตตะ, เคยยะ เวยยา-
กรณะ5ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ปรากฏในอรรถว่า นิสสัตตตา-ความไม่มีสัตว์ ได้ใน
คำเป็นต้นว่า
ก็สมัยนั้นแล ธรรมทั้งหลาย ย่อมมี,6และในคำเป็นต้นว่า
พระโยคีบุคคล ตามพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่7 ดังนี้.
1. สํ.ส. 15/845. 2. ขุ.เถร. 26/332. 3. อภิ.สํ. 34/15.
4. วิ.มหาวิภงฺค. 1/300. 5. องฺ.ปญฺจก. 22/73. 6. อภิ.สํ. 34/15.
7. ที.มหา. 10/273.

ธมฺมศัพท์ ปรากฏในอรรถว่า วิการ - ธรรมชาติที่ผันแปร ได้ใน
คำเป็นต้นว่า
ชาติธรรม ชราธรรม มรณธรรม1 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ปรากฏในอรรถว่า คุณ ได้ในคำเป็นต้นว่า
พุทธธรรม 62 ... ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ปรากฏในอรรถว่า ปัจจัย ได้ในคำเป็นต้นว่า
ความรู้แตกฉานในเหตุ ชื่อว่า ธัมมปฏิสัมภิทา3 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์ ปรากฏในอรรถว่า ปัจจยุปบัน ได้ในคำเป็นต้นว่า
ธาตุนั้น ตั้งอยู่แล ชื่อว่า ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม4 ดังนี้.
ธมฺมศัพท์นี้นั้น พึงเห็นว่าลงในอรรถว่า ปัจจยุปบัน แปลว่า ธรรม
ที่เกิดแต่ปัจจัย. โดยอรรถท่านเรียกว่าธรรมะ เพราะทรงไว้ซึ่งสภาวะ
ของตน, หรือ อันปัจจัยทรงไว้, หรือ ย่อมทรงไว้ซึ่งผลของตน.
หรือ ผู้ใดบำเพ็ญธรรมให้บริบูรณ์ก็ทรงผู้นั้นไว้ ไม่ให้ตกไปในอบาย
ทั้งหลาย, หรือทรงไว้ในลักษณะของตน ๆ. หรือว่าย่อมตั้งลงไว้ได้
ด้วยจิต, ตามสมควร. แต่ในที่นี้ ชื่อว่า ธรรม เพราะอรรถว่า อัน
ปัจจัยทั้งหลายของตน ทรงไว้, ธรรมทั้งหลายอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ย่อม
ตั้งขึ้น คือ ย่อมเกิดขึ้นด้วย ย่อมเป็นไปด้วยธรรมชาติใด ฉะนั้น
1. องฺ.ทสก. 24/107. 2. ขุ.มหา. 29/231. 3. อภิ.วิ. 351779.
4. สํ.นิ. 16/61.

ธรรมชาตินั้น จึงชื่อว่า ธรรมฐิติ. คำนี้เป็นชื่อของปัจจัยธรรมทั้งหลาย,
ญาณในธรรมฐิตินั้น ชื่อว่า ธัมมัฏฐิติญาณ.
ก็ ธัมมัฏฐิติญาณนี้ มีปริยายแห่งการกำหนดปัจจัยแห่งนามรูป
ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นแก่พระโยคีบุคคลผู้ปรารภความเพียร
เพื่อยถาภูตญาณทัสสนะ ด้วยจิตอันตั้งมั่นด้วยสมาธิตามที่กล่าวไว้ใน
สมาธิภาวนามยญาณแล้วกำหนดนามรูป.
หากจะมีปุจฉาว่า ญาณนี้ ทำไมท่านไม่กล่าวว่า นามรูป
ววัตถามญาณ อย่างเดียว แต่กลับกล่าวว่า ธัมมัฏฐิติญาณ
เล่า ? ก็มีวิสัชนาว่า เพราะการกำหนดธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ล้วน
สำเร็จด้วยการกำหนดปัจจัยอย่างเดียว. เพราะว่าธรรมที่อาศัยปัจจัย
เกิดขึ้น อันพระโยคีบุคคลไม่ได้กำหนดแล้ว ก็ไม่สามารถจะทำการ
กำหนดปัจจัยได้. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า นามรูปววัตถานญาณ
อันเป็นเหตุแห่งปัจจยปริคคหญาณนั้น สำเร็จแล้วในก่อน ก็ยอมเป็น
ญาณอันท่านกล่าวแล้วด้วย ศัพท์ว่า ธัมมัฏฐิติญาณ นั่นแล.
หากจะมีคำถามว่า เพราะเหตุไร ท่านจะไม่กล่าว สมาทหิตฺวา
ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา
แปลว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เพราะมี
จิตตั้งมั่น เหมือนญาณที่ 1 และญาณที่ 2 เล่า ? ตอบว่า เพราะ
สมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมคู่กัน.
สมจริงดังคาถาประพันธ์อันโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า

หากว่าพระโยคีบุคคลมีจิตตั้งมั่นย่อมเห็น
แจ้งได้โดยประการใดไซร้, และหากพระโยคี
บุคคลเมื่อเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีจิตตั้งมั่นได้โดย
ประการนั้น, ในกาลนั้น วิปัสสนา และสมถะ
เป็นธรรมมีส่วนเสมอกัน เป็นธรรมคู่กันเป็นไป.

เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า ปจฺจยปริคฺคเห
ปญฺญา ธมฺมฏฺฐิติญาณํ
แปลว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย
เป็นธัมมัฏฐิติญาณดังนี้ไว้ ก็เพื่อจะให้รู้ว่า ตราบใดที่อริยมรรคยังไม่
ละสมาธิทำสมาธิกับปัญญาให้เป็นธรรมคู่กัน, พระโยคีบุคคลก็จำต้อง
ขวนขวายอยู่ตราบนั้น.

5. อรรถกถาสัมมสนญาณุทเทส


ว่าด้วย สัมมสนญาณ


ชื่อว่า อดีต เพราะอรรถว่า ถึงแล้ว ถึงยิ่งแล้ว ก้าวล่วงแล้ว
ซึ่งสภาวะของตนหรือ ขณะมีอุปปาทขณะเป็นต้น, ชื่อว่า อนาคต
เพราะอรรถว่า ไม่ถึงแล้ว ไม่ถึงพร้อมแล้ว แม้ซึ่งสภาวะของตนและ
ขณะมีอุปาทขณะเป็นต้นทั้ง 2 นั้น, ชื่อว่า ปัจจุบัน เพราะอรรถว่า